ความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับอาหารเกิดขึ้นได้หลายแบบอย่างทั้งจากการฟังปากต่อปากหรือการรับชมจากสื่อต่างๆ แต่หลายๆคนก็อาจยังไม่ทราบดีว่าการที่เด็กขาดหรือได้รับสารอาหารพวกนั้นมากเกินไปจะมีผลให้เกิดไม่ดีต่อการเจริญเติบโตของเด็กได้
ซึ่งเด็กวัยศึกษาเล่าเรียนในระหว่างอายุ 6-12 ปี เป็นวัยที่กำลังจัดแจงพร้อมไปสู่ณ เวลาการเจริญเติบโตทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม ปัญญาและหัวใจ ก็เลยจำเป็นจะต้องได้รับการดูแลที่เหมาะกับขณะวัย ซึ่งนอกจากการดูแลสภาพแวดล้อมของเด็กให้พร้อมเรียนรู้กับโลกกว้างขวางแล้ว เรื่องอาหารการกินก็เป็นอีกสิ่งจำเป็นที่จะสามารถช่วยเสริมสร้างวิวัฒนาการของเด็กให้พร้อมโตขึ้นได้อย่างบริบูรณ์
มาชมกันว่ามีความเชื่อไม่ถูกๆ เกี่ยวกับการแบ่งปันเด็กทานอาหารแบบไหนบ้างที่มีผลต่อต่อเด็กในวัยศึกษา
- กินแต่ข้าวกับเนื้อสัตว์ปรุงสุกจำนวนไม่ใช่น้อย ถึงจะดี
ความเชื่อที่ว่าให้เด็กกินแต่ข้าวกับเนื้อสัตว์ปรุงสุกเยอะมากๆ จะช่วยเพิ่มเติมพลังงานให้เด็กและนำมาซึ่งการทำให้เด็กมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้นนั้นคงจะไม่น่าใช่ความเชื่อเรื่องที่ถูกต้องแม่นยำมากแค่ไหน เนื่องจากว่าการทานแต่ข้าวกับเนื้อสัตว์อาจจะเป็นผลให้เด็กได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน ซึ่งเด็กจะได้รับเพียงคาร์โบไฮเดรตจากข้าวและโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้น
แล้วเด็กยังต้องการสารอาหารอะไรเติมอีก?…สารอาหารที่เด็กควรได้รับจากการรับประทานอาหารในแต่ละวันมีด้วยเหตุดังกล่าว
๐ คาร์โบไฮเดรต ที่มาจากอาหารยกตัวอย่างเช่น ข้าว แป้ง
หน้าที่ของคาร์โบไฮเดรตคือการแบ่งสันปันส่วนพลังงานแก่ร่างกายเพื่อที่จะใช้สำหรับการเคลื่อนไหวร่างกายและทำกิจกรรมต่างๆ ดังเช่นว่า เดิน วิ่ง ออกกำลังกาย เป็นต้น แต่ถ้าเกิดเด็กได้รับสารอาหารจากคาร์โบไฮเดรตมากเกินความต้องการของร่างกายจะกลายเป็นไขมันสะสมได้
๐ โปรตีน ที่มาจาก เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์
โปรตีนช่วยให้ร่างกายของเด็กเจริญเติบโต ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ ฮอร์โมนเพื่อที่จะเตรียมพร้อมตัวเข้าสู่วัยรุ่น โดยโปรตีนที่เด็กวัยเรียนรู้ควรจะได้รับในเป็นกิจวัตรอยู่ที่ 1-1.1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
๐ วิตามินและแร่ธาตุ ที่มาจากผักและผลไม้ วิตามินและแร่ธาตุเป็นสารอาหารที่จำเป็นมากต่อการเจริญโตขึ้นและวิวัฒนาการของเด็ก ถ้ามิได้รับสารอาหารเหล่านี้จะทำให้เด็กเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ ขาดสารอาหารรวมทั้งจะก่อให้เด็กป่วยง่าย
๐ ไขมัน ที่มาจากไขมันพืชและไขมันสัตว์ถึงครั้นว่าการได้รับสารอาหารจำพวกนี้จะต้องระวังเป็นพิเศษเหตุเพราะไขมันเป็นสาเหตุของการเกิดไขมันสะสมในร่างกายได้ แต่ร่างกายของเด็กยังอาจต้องการไขมันเพื่อที่จะเป็นพลังงานสำหรับเพื่อการใช้ชีวิตประจำวันจะปรากฏได้ว่าถ้ากินเพียงข้าวและเนื้อสัตว์ปรุงสุกนั้น จะมิได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่มาจากผักและผลไม้
2. อาหารฟาสต์ฟู้ดกินเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนกัน
เดี๋ยวนี้อาหารชนิดฟาสต์ฟู้ด (อาหารที่ได้รับสมญานามว่าเป็น “อาหารขยะ”) กำเนิดมากยิ่งกว่าเดิมมายทั้งเวอร์ชั่นของร้านรวงอาหารไปกระทั่งอาหารแบบแช่แข็งที่หลายครอบครัวคัดสรรค์ให้ลูกกินในชั่วโมงเร่งด่วน ทำให้เด็กได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วนและยังได้รับสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็กในระยะยาวอีกด้วย จึงเกิดเป็นความประพฤติปฏิบัติการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดเพราะความสะดวกสะดวกและสบายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เด็กกินอาหารในปริมาณที่เพิ่มขึ้นและเป็นต้นเหตุให้เด็กเกิดโรคอ้วนได้ง่าย
นอกเหนือจากนี้อาหารฟาสต์ฟู้ดจะมีพลังงานที่สูงเกินกว่าที่ร่างกายของเด็กจะใช้ได้หมดแล้ว ในอาหารกลุ่มนี้ยังมีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็ก อย่างเช่น สารกันบูด สารเร่งการเจริญโตขึ้นของสัตว์ เป็นต้น
๐ อาหารขยะส่งผลต่อความจำและการเรียน
เด็กวัยเรียนอยู่ด้านในช่วงที่ร่างกายและระบบความคิดปรับปรุงได้เป็นอย่างดี หมวดเขาจะตื่นเต้นและจดจำกับสิ่งที่ต่างไปจากเดิม ที่ประสบในชีวิตตลอดเวลา แต่การที่เด็กในวัยนี้ได้รับสารอันตรายจากอาหารขยะเป็นจำนวนมากจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบความคิดและระบบการจำของเด็กได้ ซึ่งนอกจากนั้นส่งผลต่อระบบส่วนที่ใช้ในการประมวลผลให้ทำงานได้อย่างไม่เต็มสมรรถนะแล้ว ยังส่งผลต่อเด็กในด้านของอารมณ์และสุขรูปในระยะยาวอีกด้วย
3. ให้กินขนมหวานข้างหลังมื้ออาหาร
ผู้มีอุปการะคุณของเด็กวัยศึกษาเล่าเรียนหลายคนส่วนมากจะโน้มน้าวให้ลูกกินข้าวด้วยการใช้ขนมหวานข้างหลังอาหารเป็นตัวล่อ ทำให้เด็กติดนิสัยสำหรับการกินเพื่อที่จะให้ได้กินขนมหวานภายหลังอาหารมื้อนั้น โดยขนมหวานพวกนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอันตรายใกล้ตัวเด็ก ถ้ากินบ่อยๆ หรือกินในปริมาณมาก เด็กจะติดรสชาติหวานซึ่งมีผลให้เด็กอยากกินขนมหวานหลายครั้งขึ้นหรือชอบกินอาหารที่มีรสชาติหวานเพิ่มขึ้น
สิ่งที่ตามมาจากการกินหวานบ่อยครั้งของเด็กๆ คือจะมีผลให้ฟันผุและคงจะกระตุ้นให้เกิดโรคอ้วนได้ ยิ่งกว่านั้นจะมีผลต่อสภาวะร่างกายแล้วยังส่งผลต่อด้านอารมณ์ของเด็กที่ทำให้สมาธิสั้น กริ้วโกรธและฉุนเฉียวง่ายขึ้นอีกต่างหาก
4. วิตามินเสริมตอบแทนอาหารหลักได้
เด็กวัยเล่าเรียนผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยเริ่มต้นมีการกระทำคัดเลือกกินมากขึ้นและโดยมากคัดเลือกที่จะไม่กินผักและผลไม้ บิดาและมารดา ผู้ปกครองหลายท่านจึงคัดเลือกที่จะให้ลูกกินวิตามินเสริมทดแทนวิตามินที่มิได้รับจากผักและผลไม้โดยดิ่ง ซึ่งเมื่อเด็กได้รับวิตามินเสริมเป็นระยะเวลานานจะมีผลต่ออวัยวะภายในซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ทางที่ดีควรปลูกฝังเด็กให้กินผักและผลไม้สดตั้งแต่ยังเด็กเพื่อจะให้วิตามินจากธรรมชาติที่หลากหลาย ได้มีส่วนช่วยสำหรับการเจริญโตขึ้นของเด็กและช่วยสำหรับการป้องกันโรคได้
วิตามินและแร่ธาตุอะไรบ้างที่เด็กวัยศึกษาควรได้รับ
แคลเซียม
มีความจำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ถ้าขาดแคลเซียมจะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง เป็นตะคริวและเจริญเติบโตช้า โดยแหล่งแคลเซียมจากอาหารยกตัวอย่างเช่น ถั่วเหลือง นมและผลิตภัณฑ์นม ปลาเล็กปลาเล็กน้อย ผักใบเขียว
ธาตุเหล็ก
มีความหมายต่อการเจริญโตขึ้นของทั้งร่างกาย สมอง และช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้ระดับความสามารถการทำงานของร่างกายดี ไม่เหนื่อยไม่ยาก หากเด็กขาดธาตุเหล็กจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจางและมีผลต่อศักยภายของการเรียนรู้ได้ โดยแหล่งอาหารของธาตุเหล็กตัวอย่างเช่น ตับ เลือด เครื่องในสัตว์ และไข่แดง
ไอโอดีน
มีความหมายต่อการสร้างและจัดทำขึ้นฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและความคิดหรือส่วนที่ใช้ในการคิดให้เจริญเติบโตอย่างเป็นทั่วไป ถ้าขาดไอโอดีนจะมีผลให้เด็กมีความก้าวหน้าของสมองที่ช้าลง กำเนิดโรคคอพอก ร่างกายแคระแกร็น แหล่งอาหารที่มีไอโอดีนอย่างเช่น อาหารทะเล สาหร่ายทะเล ปลาทะเล
สังกะสี
มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเด็กซึ่งสังกะสีจะจัดการงานเกี่ยวพันกับโปรตีน ถ้าเด็กขาดสังกะสีจะมีผลให้เด็กมีภาวะเตี้ย โดยสังกะสีนั้นมีในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ปลา ไข่ ขมและผักสีเขียวเข้ม
วิตามินเอ
มีความหมายต่อการสังเกตเห็นของเด็ก การเจริญเติบโตของเซลล์และระบบภูมิคุ้มค่ากันโรค ถ้าขาดวิตามินเอ จะทำให้มองไม่เห็นได้ชัดในแสงสลัวหรือที่เรียกว่า ตาบอดช่วงกลางคืน แหล่งอาหารที่ประสบวิตามินเอเป็นต้นว่า ตับ ไข่ นม ผักผลไม้สีเขียวเข้มและเหลืองส้ม อย่างเช่น ผักตำลึง ฟักทองคำ แครอท มะม่วง
วิตามินบี 1
มีความสำคัญสำหรับการช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต หากเด็กขาดวิตามินบี 1 จะก่อให้เป็นโรคเหน็บชา แหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 1 ดังเช่นว่า เนื้อหมู ข้าวซ้อมมือ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง งา
วิตามินบี 2
มีความสำคัญที่ยิ่งไปกว่านั้นช่วยสำหรับในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังช่วยเผาผลาญไขมันและโปรตีนด้วย ช่วยสนับสนุนระบบประสาท ผิวหนัง ดวงตา และช่วยป้องกันเซลล์ถูกผลิตลาย ถ้าขาดวิตามินบี 2 จะก่อให้เกิดอาการปวดคอ ริมฝีปากอักเสบและเป็นปากนกกระหน้าจอกได้ แหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 2 ดังเช่นว่า เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ไข่ นม
วิตามินซี
มีความจำเป็นต่อระบบภูมิคต้านทานโรค ยับยั้งการสร้างและจัดทำขึ้นสารก่อมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ ถ้าขาดวิตามินซีจะก่อให้เบื่ออาหาร กระวนกระวาย อารมณ์แปรปรวน แผลหายช้า เลือดออกตามไรฟันหรือ “โรคลักปิดลักเปิด” แหล่งของวิตามินซีมาจากผักและผลไม้หลากหลายชนิดอย่างเช่น คนต่างประเทศ มะขามป้อมปราการ ส้ม ขนุน มะเขือเทศ ผักใบเขียว เป็นต้น
Tips: จำนวนอาหารที่ห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดเพื่อเด็กวัยเรียน
จำนวนอาหารที่เด็กวันเรียนรู้ควรจะได้รับใน 1 วันมีอะไรบ้าง
จากกำหนดการ บ่งบอกถึงถึงความเหมาะสมในการเตรียมพร้อมอาหารให้ได้โภชนาการครบถ้วนสำหรับเด็กวัยเรียนใน 1 วัน โดยเด็กชั้นอนุบาลณ เวลาอายุ 4-5 ปี มีความรู้สึกที่อยากได้ข้าว-แป้ง 5 ทัพพี, ผัก 3 ทัพพี, ผลไม้วันละ 3 ส่วน, เนื้อสัตว์โดยประมาณ 3 ช้อนกินข้าว และนม 2-3 แก้ว
ส่วนเด็กเกรดประถมหรือระหว่างอายุ 6-13 ปี มีความต้องการข้าว-แป้ง 8 ทัพพี, ผัก 4 ทัพพี, ผลไม้วันละ 3 ส่วน, เนื้อสัตว์ราวๆ 6 ช้อนกินข้าว และนม 2-3 แก้ว
ข้อมูลจาก : หมู่พัฒนาความประพฤติโภชนาการ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
สรุป
เมื่อได้ทราบถึงโภชนาการที่สำคัญต่อเด็กวัยเรียนรู้แล้ว การให้เด็กได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและมีปริมาณที่เหมาะกับตัวเด็กเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้จำเป็นที่จะต้องนึกถึงเด็กแต่ละคนด้วยว่าร่างกายของเด็กแพ้อาหารจำพวกใดหรือไม่ แล้วสามารถทดแทนสารอาหารเหล่านั้นได้ยังไง เพื่อที่จะให้เด็กสามารถเติบโตและมีพัฒนาการที่สมวัย